Knowledge

From Agricultural Economy to Attention Economy

พัฒนาการทางธุรกิจ..เรียนรู้ที่มา..ก่อนศึกษาที่ไป..

นักบริหารธุรกิจมักตั้งคำถามว่า วันพรุ่งนี้เราจะหากำไรจากธุรกิจใดได้บ้าง ทำอย่างไรรายได้ธุรกิจของเราจะเพิ่มขึ้น หากเราได้ลองศึกษาวิวัฒนาการทางเศรษฐกิจจากประวัติศาสตร์ หลายครั้งที่เราสามารถคาดคะเนหรือประเมินสถานการณ์ในอนาคตได้ การทำความเข้าใจความเป็นไปของธรรมชาติและสภาพแวดล้อม ณ ขณะนั้น จะทำให้เราเห็นกระบวนการเรียนรู้และสามารถแสวงหาโอกาสที่จะช่วงชิงจังหวะความได้เปรียบก่อนคู่แข่งขันได้ การแปรสภาพของธุรกิจก็มีผลจากการเปลี่ยนแปลงไปตามสิ่งแวดล้อมและความอิ่มตัวในแต่ละยุคสมัย จุดนี้เองที่จะเป็นตัวช่วยให้เราประเมินทิศทางในการสร้างโอกาสการทำเงินให้กับธุรกิจของเราได้ง่ายขึ้น

เรียนรู้ที่มา…ประวัติศาสตร์ของเศรษฐกิจที่ว่าเป็นอย่างไร?

Agriculture Economy (<1800s) เศรษฐกิจยุคแรกของโลก

ย้อนกลับไปในสมัยที่ความรุ่งเรืองไม่ได้เปลี่ยนแปลงรวดเร็วเท่าทุกวันนี้ ความต้องการของมนุษย์ยังเป็นแค่ความต้องการขั้นพื้นฐาน (Need) นั่นคือ อาหารและที่อยู่อาศัย มนุษย์เลือกที่จะอยู่อาศัยใกล้แหล่งน้ำ เน้นการทำเกษตรกรรม เพาะปลูก กอปรกับการเพิ่มประชากรอย่างรวดเร็วจึงเป็นตัวการผลักดันให้ธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับอาหารการกินเติบโตอย่างมาก ยุคนี้ผู้คนที่ทำการเกษตรถือเป็นกลุ่มคนที่มีความมั่งคั่งที่สุด ความเจริญกระจุกตัวอยู่ในบริเวณใกล้แหล่งน้ำ เราจะเห็นได้จากความรุ่งเรืองทางอารยธรรมตามลุ่มเเม่น้ำต่างๆ เช่น ลุ่มเเม่น้ำไนล์ ลุ่มแม่น้ำไทกริส-ยูเฟรทิสหรือเมโสโปเตเมีย และลุ่มแม่น้ำแยงซีเกียง เป็นต้น

Industrial Economy (1800-1900s) ยุคปฏิวัติอุตสาหกรรม

เมื่อความต้องการขั้นพื้นฐานถูกเติมเต็ม มนุษย์เริ่มมีความคิดในการพัฒนาในด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีเพิ่มขึ้น ทั้งเรื่องพลังงานไฟฟ้า เครื่องจักร เครื่องกล การประดิษฐ์สิ่งของ เพื่อให้ได้ปริมาณเพียงพอที่จะตอบสนองการเติบโตของประชากรที่มีเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว คนที่มีความรู้ในเรื่องเหล่านี้จึงเริ่มมีความร่ำรวยขึ้นมา ความมั่งคั่งถูกถ่ายเทไปยังทวีปยุโรปและอเมริกา ประกอบกับสภาพภูมิประเทศที่มีพื้นที่ว่างเปล่ามากและเเม่น้ำน้อย ก็ยิ่งไม่เหมาะกับการทำเกษตรกรรม เราจะเห็นว่า ศาสตร์ที่ถูกใช้จึงกลายเป็นเรื่องของวิทยาศาสตร์ การประดิษฐ์และวิศวกรรม เกิดการผลิตรถยนต์ รถไฟ โรงงานอุตสาหกรรม เครื่องจักร การตัดเย็บเสื้อผ้า เครื่องจักรกลกลุ่มธุรกิจจำพวกนี้สามารถทำเงินได้อย่างมหาศาล คนทำเกษตรกรรมจนลง ความเจริญรุ่งเรืองเปลี่ยนผ่านไปยังผู้ที่มีความรอบรู้ในด้านวิศวกรรม วิทยาศาสตร์เเละการประดิษฐ์แทน

- Key Success Factors vary across different economic eras -

Service Economy (1900-2000s) ยุคธุรกิจบริการ

เมื่อการผลิตเริ่มไม่ได้สร้างคุณค่าที่สูงมากอีกต่อไป ผู้คนเริ่มมองในแง่ของความพึงพอใจของตน มีความต้องการในเรื่องของการบริการมากขึ้น ส่งผลให้เริ่มมีธุรกิจด้านงานบริการ อาทิเช่น การท่องเที่ยว โรงเเรม โรงพยาบาล การเงินการธนาคาร เพิ่มมากขึ้น

Global Economy ยุคโลกาภิวัฒน์

การที่หลายประเทศยุติการทำสงคราม และการเติบโตของธุรกิจแต่ละที่รอบโลก การเดินทางและการติดต่อสื่อสารที่ง่ายขึ้นรวมถึงการรวมกลุ่มของหลายประเทศ ทำให้คุณค่าของเศรษฐกิจยุคนี้มุ่งไปสู่การสร้างมาตรฐานระดับสากล หลายธุรกิจสร้างความร่ำรวยขึ้นมาได้ด้วยการสร้างผลิตสินค้าหรือบริการหลักของตนเองให้สามารถขยายตลาดไปได้ทั่วโลก เช่น FedEx CitiBank McDonald’s และ Starbucks เป็นต้น รวมไปถึงการเติบโตอย่างรวดเร็วของธุรกิจด้านดิจิตอล เนื่องจากราคาสินค้าอุปกรณ์ทางดิจิตอลถูกลงอย่างต่อเนื่อง ความรุ่งเรืองถูกขยายไปในกลุ่มคนที่มีความรู้ ความเชี่ยวชาญทางด้านอินเตอร์เน็ท จนเกิดเป็น Digital Economy ยุคเศรษฐกิจดิจิตอล เช่น Google.com และ ธุรกิจ E-commerce อย่าง Amazon.com ซึ่งปัจจุบันนี้ก็เห็นได้ชัดเจนว่า เว็บไซต์เหล่านี้ยังคงได้รับผลประโยชน์อย่างมหาศาลจากความได้เปรียบตั้งแต่ช่วงเวลานั้น

Knowledge Economy (>2000s) ยุคธุรกิจความรู้

คุณค่าของตัวเงินถูกถ่ายเทไปยังกลุ่มคนที่มีความรู้ เช่น บริษัทที่ปรึกษา บริษัทยา และบริษัทวิจัยและพัฒนา พวกการตลาดและการลงทุน เป็นต้น การเปลี่ยนแปลงไปของยุคนี้รวดเร็วมากขึ้นกว่าเศรษฐกิจยุคแรกๆอย่างมาก เนื่องจากการเติบโตของเทคโนโลยีอินเตอร์เนทที่ทำให้มนุษย์เราสามารถกระจายความรู้ต่อกันได้ ตัวอย่างเช่น Wikipedia.com สารานุกรมออนไลน์ที่ครอบคลุมทุกเรื่องราวรอบโลก เป็นต้น อาจมีความรู้บางอย่างที่ยังคงมีคุณค่าในตัวเอง ถึงแม้ว่ามีกระจายต่อก็ยังไม่ใช่ว่าจะนำไปใช้ได้เลยซะทีเดียว ส่วนใหญ่ได้แก่ สาขาวิชาเฉพาะต่างๆ เช่น การวิเคราะห์ข้อมูล การประเมินความเสี่ยงในการลงทุน เป็นต้น

ศึกษาที่ไป..อย่างน้อยก็จะได้ไม่ผิดทิศผิดทาง

Attention Economy

มาถึงยุคที่เราอยู่ตอนนี้ เป็นยุคที่ต้องบอกว่า เราเริ่มมองเห็นคุณค่าของสิ่งใดๆ เบาบางลง ตัวอย่างเช่น ปรากฎการณ์ Facebook ที่มีกระแสสนับสนุนหรือต่อต้านในเรื่องราวที่เป็นเกิดเป็นกระแสโดยละเลยความเป็นจริง หลักการและเหตุผลของสิ่งที่มันเกิดขึ้น หรืออีกปรากฎการณ์ที่นักข่าวผู้ซึ่งคอยทำหน้าที่วิเคราะห์ให้ข้อมูลข่าวสาร แตกประเด็นข่าวเจาะลึก เริ่มกลายเป็น Celebrity มากขึ้น ทำให้ธุรกิจบางรายดึงความเป็นที่สนใจจากตัวนักข่าวมากกว่าคุณค่าหลักในตัวของนักข่าวคนนั้นเอง เป็นต้น Attention Economy เป็นยุคที่เราต่างเน้นในเรื่องของอารมณ์ความรู้สึก ศาสตร์ของความคิดสร้างสรรค์ก็ถูกรวมไว้ในยุคนี้เช่นกัน เนื่องจากทุกธุรกิจต่างก็ต้องการสร้างความแตกต่าง ความเป็นจุดสนใจของตลาด และได้รับการยอมรับจากสังคม สิ่งที่ต้องระวังคือ การมุ่งเน้นที่จะสร้างกระแสความสนใจจนลืมมองคุณค่าหลักในธุรกิจของตัวเอง พอได้ความสนใจนั้นมา แนวโน้มของสภาพแวดล้อมและค่านิยมของผู้คนเปลี่ยน จะกลับตัวหาคุณค่าหลักของธุรกิจเราเอง ถึงตอนนั้นก็อาจจะสายเกินไป

แล้วจะไปต่อกันอย่างไร…หรือถึงคราวคืนสู่สามัญ?

ถ้าถามว่า เราจะกลับไปยังยุคเศรษฐกิจที่เน้นด้านเกษตรกรรมเป็นหลักอีกรึเปล่า ก็อาจจะไม่ถึงขนาดนั้น เพราะถ้าสังเกตดีๆจะพบว่า วัตถุุดิบทางการเกษตรทุกวันนี้ ก็ไม่ได้มีแนวโน้มว่าจะมีทิศทางด้านราคาดีขึ้น เกษตรกรรมไม่ได้ทำให้คนทำการเกษตร่ำรวยได้อย่างสมัยก่อน จริงๆแล้ว วัตถุดิบที่เราเห็นกันนั้นได้ถูกดัดแปลง แปรรูป และสร้างมูลค่ามากขึ้นด้วยการวิจัยและพัฒนาผลิตภัณฑ์มากกว่า เรายังบอกได้ไม่ชัดเจนว่า..ในอนาคตพัฒนาการของการทำธุรกิจจะออกไปในทิศทางใด เพียงแต่สิ่งที่ต้องคำนึงถึงเสมอ ก่อนจะเข้าไปในตลาดใดๆ ก็คือ…

การเปลี่ยนแปลงในแต่ละยุคธุรกิจ ทำให้คนในยุคที่ถูกเปลี่ยนได้รับผลกระทบ และส่วนใหญ่เป็นไปในทิศทางที่ถดถอย การมองหาคุณค่าหลักของสภาพแวดล้อม ณ ช่วงเวลานั้นให้เจอ และให้ความสำคัญกับธุรกิจที่อยู่ในระยะยาวมากกว่าการหยิบฉวยธุรกิจที่อยู่ใกล้มือ เราจำเป็นต้องมองหากลยุทธ์เพื่อปรับใช้กับสิ่งที่เรามีในปัจจุบัน จุดนี้เองที่เป็นความท้าทายของการทำธุรกิจในอนาคต และในยุคที่อะไรๆก็มุ่งไปกับการสร้างกระแสให้เป็นที่สนใจแต่ไม่มองถึงคุณค่าหลักที่แท้จริงอย่างสมัยนี้ สิ่งที่ได้มาอาจไม่ยั่งยืนอย่างที่คิด

www.amazon.com และ www.google.com เว็บไซต์ที่เปลี่ยนพฤติกรรมของผู้ใช้งานทั่วโลก

Related Posts